พืชชนิดใหม่ของโลก ! เปราะอาจารย์สุมนต์ สกุลเปราะ วงศ์ขิง จากจังหวัดสกลนคร ประเทศไทย โดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Kaempferia sakolchaii P.Saensouk, Saensouk & Boonma จัดเป็นพืชหายากและมีสถานะพืชถิ่นเดียวของไทย
สำหรับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์และชื่อสามัญเพื่อเป็นเกียรติแก่ รองศาสตราจารย์ ดร.ภก.สุมนต์ สกลไชย ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก มีคุณูปการในการสนับสนุนนักวิจัย และงานวิจัยทั้งในด้านพฤกษศาสตร์และเภสัชพฤกษศาสตร์ ท่านเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น นายกสภาเภสัชกรรมแห่งประเทศไทย และคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยบูรพา จึงได้ขออนุญาตท่านตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามนามสกุลของท่าน และชื่อสามัญตามชื่อของท่าน
.
“เปราะอาจารย์สุมนต์” มีลักษณะเด่นที่สวยงาม คือ มีใบเพียงใบเดียว ใบรูปไข่แคบจนถึงรูปไข่กว้าง ใบด้านบนมีลวดลายใบเป็นแถบสีเขียวเข้มสลับสีเงินหรือสีขาวตามแนวยาวของเส้นใบ มีจุดสีดำกระจายทั่วบริเวณขอบใบ ด้านหลังใบมีสีเขียวอ่อนกว่าด้านหน้าใบ รยางค์อับเรณูขนาดประมาณ 6 × 3 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็นสองพู แต่ละพูแยกเป็นพูย่อย 4 พู รังไข่ขนาดประมาณ 3 × 2 มิลลิเมตร และมีต่อมน้ำหวานยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร ผลิตช่อดอกหลังจากใบโตเต็มที่
.
ในพืชสกุลเปราะ (Kaempferia genus) แบ่งออกเป็นสองสกุลย่อย ประกอบด้วยสกุลย่อยดอกดิน (subgenus Protanthium) ซึ่งจะมีช่อดอกเกิดจากเหง้าก่อนที่จะมีใบ และสกุลย่อยเปราะหอม (subgenus Kaempferia) จะมีช่อดอกหลังจากที่มีใบแล้ว ช่อดอกเกิดระหว่างกาบใบ “เปราะอาจารย์สุมนต์” จึงถูกจัดอยู่ในสกุลย่อยเปราะหอมเนื่องจากมีช่อดอกหลังจากที่มีใบ
.
ในปัจจุบันสกุลย่อยเปราะหอม (subgenus Kaempferia) ทั่วโลกมีมากกว่า 30 ชนิด แต่ที่มีใบเพียงใบเดียวมี 7 ชนิด ประกอบด้วย
.
1. เปราะใบยักษ์ (K. gigantiphylla Picheans. & Koonterm)
2. ตูบหมูบอีสาน (K. isanensis Saensouk & P.Saensouk)
3. ว่านเปราะใบเดียว (K. picheansoonthonii Wongsuwan & Phokham)
4. กระชายดำเทียม (K. pseudoparviflora Saensouk & P.Saensouk)
5. เปราะอาจารย์สุมนต์ (K. sakolchaii P.Saensouk, Saensouk & Boonma)
6. เปราะสยาม (K. siamensis Sirirugsa)
7. ตูบหมูบใบเดียว (K. unifolia Saensouk & P.Saensouk)
.
ในขณะที่บางชนิดในสกุลย่อยเปราะหอมที่มีหลายใบแต่สามารถผลิตช่อดอกได้ขณะที่มีใบเพียงใบเดียวมี 2 ชนิด ได้แก่ ว่านนกคุ้ม (K. elegans Wall.) และกระชายดำ (K. parviflora Wall. ex Baker).
.
การมีลวดลายใบเป็นแถบสีเขียวเข้มสลับสีเงินหรือสีขาวตามแนวยาวของเส้นใบทำให้ “เปราะอาจารย์สุมนต์” (K. sakolchaii) มีความคล้ายกับเปราะอัตตะปือ (K. attapeuensis Picheans. & Koonterm) และเปราะน้อย (K. minuta Jenjitt. & K.Larsen) แต่ทั้งสองชนิดดังกล่าวมีดอกสีชมพู มีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน (lateral staminodes) อยู่ในระนาบเดียวกันกับกลีบปาก (labellum) ในขณะที่ “เปราะอาจารย์สุมนต์” มีดอกสีขาวม่วงและเกสรเพศผู้ที่เป็นหมันตั้งขึ้นไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกันกับกลีบปาก จึงทำให้เปราะอาจารย์สุมนต์แตกต่างอย่างชัดเจนจากทั้งสองชนิดดังกล่าวทั้งการมีใบเดียว และลักษณะของดอก
.
“เปราะอาจารย์สุมนต์” พบในป่าเต็งรัง และป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูงประมาณ 300-400 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในดินร่วนปนทรายและหิน โดยจะออกดอกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม ปัจจุบันพบแค่ในพื้นที่จังหวัดสกลนครเท่านั้น จึงทำให้นอกจากเป็นพืชหายากแล้ว ยังมีสถานะเป็นพืชถิ่นเดียว (Endemic species) ของไทยอีกด้วย
งานวิจัยโดยรองศาสตราจารย์ ดร.สุรพล แสนสุข จากหลักสูตรความหลากหลายทางชีวภาพ สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, รองศาสตราจารย์ ดร.ปิยะพร แสนสุข จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, นายธวัชพงศ์ บุญมา จากหลักสูตรความหลากหลายทางชีวภาพ สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยนักวิจัยทั้งสามเป็นสมาชิกของหน่วยวิจัยความหลากหลายพืชวงศ์ขิง และพืชที่มีท่อลำเลียงเพื่อการประยุกต์ (Diversity of Family Zingiberaceae and Vascular Plant for Its Applications Research Unit) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
.
ร่วมกับ ดร.ศรายุทธ รักอาชา จากสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปฐมทรรศน์ ศรีสุข จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ Dr. Vincent O. Imieje จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเบนิน (University of Benin) ประเทศไนจีเรีย ผลงานพืชชนิดใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก facebook : Thai PBS Sci & Tech